สิ่งสืบเนื่อง ของ ไรอัน ไวต์

ไวต์เป็นหนึ่งในผู้ป่วยโรคเอดส์จำนวนไม่มากซึ่งเป็นจุดสนใจในยุคทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 ที่ช่วยเปลี่ยนความคิดที่มีต่อโรคนี้ของสาธารณะ ไวต์และนักแสดงร็อก ฮัดสัน เป็นตัวแทนยุคแรก ๆ ของโรคเอดส์ ไวต์และบุคคลที่มีชื่อเสียงที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์อย่างเช่น พี่น้องตระกูลเรย์, เมจิก จอห์นสัน, คิมเบอร์ลี เบอร์กาลิส และ เฟรดดี เมอร์คูรี ช่วยทำให้คนทั่วไปตระหนักถึงปัญหาเอชไอวี/เอดส์ ที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว[27]

มีมูลนิธิมากมายเกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของไวต์ อย่างเช่นงาน แด๊นส์มาราธอน ของมหาวิทยาลัยอินดีแอนา เริ่มต้นในปี 1991 เพื่อหาเงินเข้าโรงพยาบาลไรลีย์สำหรับเด็ก และในระหว่างปี 1991 ถึง 2008 งานนี้ช่วยหาเงินได้มากกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ไรลีย์ได้[34][35] เงินที่หามาได้ยังช่วยในการก่อตั้งคลินิกผู้ติดเชื้อไรอันไวต์ ที่โรงพยาบาลเพื่อดูแลเด็กที่ป่วยมาก แพทย์ส่วนตัวของไวต์ที่เป็นเพื่อนสนิทกับ ดร. มาร์ติน ไคลแมน ได้เป็นศาสตราจารย์ทางด้านเอดส์ที่มหาวิทยาลัยอินดีแอนา ในอินดีแอนาโพลิส ในปี 1993 แลร์รี เครเมอร์ นักเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิของเกย์และโรคเอดส์ พูดว่า "ผมคิดว่า ไรอัน ไวต์ ได้ทำเพื่อเปลี่ยนแปลงความเจ็บป่วยนี้ และทำให้คนเคลื่อนไหวได้มากกว่าใคร และยังดำเนินการต่อผ่านทางแม่ของเขา ญอง ไวต์ เธอเป็นแรงบันดาลใจที่เหลือเชื่อ เมื่อเธอพูดออกมาให้โลกรับรู้" [36]

ในปี 1992 แม่ของไวต์ก่อตั้งไรอันไวต์ฟาวเดชัน องค์กรไม่แสวงหาผลประโยชน์ที่ทำงานเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ และประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนที่เป็นโรคฮีโมฟิเลียเหมือน ไรอัน ไวต์ และครอบครัวที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคนี้[37] มูลนิธิมีกิจกรรมต่อเนื่องตลอดทศวรรษ 1990 ด้วยยอดบริจาคถึง 300,000 เหรียญสหรัฐในปี 1997 อย่างไรก็ตาม ระหว่างปี 1997 ถึง 2000 ยอดบริจาคที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ลดลงร้อยละ 21 ทั่วประเทศ และยอดบริจาคของไรอันไวต์ฟาวเดชันลดลงเหลือเพียง 100,000 เหรียญสหรัฐต่อปีในปี 2000 แม่ของไวต์จึงปิดมูลนิธิลงและได้ยุบสินทรัพย์ที่เหลืออยู่รวมกับ "เอดส์แอ็กชัน" ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ใหญ่กว่า เธอเป็นโฆษกให้กับกิจกรรมด้านโรคเอดส์และยังเป็นผู้จัดกิจกรรมบรรยายผ่านทางเว็บไซต์ ryanwhite.com[38] โรงเรียนมัธยมปลายของไวต์ โรงเรียนฮามิลตันไฮตส์ มีฝ่ายปกครองนักเรียนที่เป็นผู้สนับสนุน "เอดส์วอล์ก" ที่จัดขึ้นประจำปี และยังมีทุนการศึกษาที่ชื่อ ทุนการศึกษาไรอันไวต์ (อังกฤษ: Ryan White Scholarship Fund)[39]

การตายของไวต์เป็นแรงดลใจให้เอลตัน จอห์น ตั้งเอลตันจอห์นเอดส์ฟาวเดชัน ขึ้นมา ไวต์ยังเป็นแรงบันดาลใจกับเพลงป็อปจำนวนหนึ่ง เอลตัน จอห์นอุทิศ เพลง "The Last Song" ที่อยู่ในอัลบั้ม The One ให้กับโครงการทุนไรอันไวต์ ที่โรงพยาบาลไรลีย์[40] ไมเคิล แจ็กสัน แต่งเพลง "Gone Too Soon" จากอัลบั้ม Dangerous ให้กับไวต์[41] นอกจากนี้นักร้องเพลงป็อป ทิฟฟานี ก็แต่งเพลง "Here in My Heart" ด้วย เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม New Inside album ของเธอ[42] ในเดือนพฤศจิกายน 2007 พิพิธภัณฑ์เด็กของอินดีแอนาโพลิสเปิดนิทรรศการที่เรียกว่า "The Power of Children: Making a Difference" ที่มีเรื่องราวของไวต์ ควบคู่กับเรื่องของ อันเนอ ฟรังค์ และ รูบี บริดจ์ส[43]

ไรอัน ไวต์ กับการรับรู้เรื่องโรคเอดส์

ในต้นทศวรรษ 1980 เอดส์เป็นโรคติดต่อที่ถูกเข้าใจว่าติดต่อเฉพาะในหมู่เกย์ เพราะพบครั้งแรกในหมู่สังคมเกย์ ในนิวยอร์กซิตีและซานฟรานซิสโก จึงเรียกว่าโรค “ความบกพร่องของภูมิคุ้มกันในหมู่เกย์” (อังกฤษ: Gay-Related Immune Deficiency; GRID) ในช่วงแรกของการแพร่ระบาดของเชื้อ เอชไอวี/เอดส์ ในสหรัฐอเมริกา คนคิดว่าเป็นปัญหาของพวกรักร่วมเพศ และผู้วางนโยบายของรัฐส่วนใหญ่ยังเพิกเฉย[21] การติดเชื้อของไวต์เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเอดส์ไม่ได้เกิดเฉพาะในกลุ่มคนรักร่วมเพศเท่านั้น ในการพูดสนับสนุนการศึกษาเรื่องเอดส์ ไวต์ยังปฏิเสธทุกคำวิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นรักร่วมเพศ[37]

บางคนมองว่าไวต์เป็น "เหยื่อที่บริสุทธิ์" ของการระบาดของโรคเอดส์[37] แต่ทั้งครอบครัวไวต์และตัวไวต์เองปฏิเสธการใช้คำว่า "เหยื่อที่บริสุทธิ์" เพราะคำนี้เป็นการบอกเป็นนัยยะว่า กลุ่มคนรักร่วมเพศเป็น "ฝ่ายผิด" แม่ของไวต์บอกกับ เดอะนิวยอร์กไทมส์ ว่า "ไรอันมักพูดว่า ผมก็เหมือนทุก ๆ คนที่เป็นเอดส์ ไม่สำคัญหรอกว่าผมติดโรคมาอย่างไร และเขาจะอยู่ไม่ได้นานอย่างนั้นถ้าปราศจากสังคมเกย์ คนที่เรารู้จักในนิวยอร์กต้องบอกเราเรื่องการรักษาล่าสุด ก่อนที่เราจะรู้จักวิธีนี้ในอินดีแอนาเสมอ ฉันได้ยินเหล่าคุณแม่ในทุก ๆ วันนี้ ว่าเขาจะไม่ทำงานเลยถ้าสังคมเกย์ยังไม่ได้รับอะไรที่ดี ถ้ามันเกิดขึ้นกับลูกชายคุณ คุณจะเริ่มเปลี่ยนใจและเปลี่ยนทัศนคติรอบ ๆ ข้าง"[37]

รัฐบัญญัติไรอันไวต์แคร์

ประธานาธิบดีบารัก โอบามาลงนามในรัฐบัญญัติต่ออายุการรักษาเอชไอวี/เอดส์ไรอันไวต์ ค.ศ. 2009

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1990 หลังการเสียชีวิตของไวต์สี่เดือน สภาคองเกรสออกกฎหมาย The Ryan White Comprehensive AIDS Resources Emergency (CARE) Act (มักเรียกสั้น ๆ ว่า รัฐบัญญัติไรอันไวต์แคร์) เพื่อเป็นเกียรติกับเขา กฎหมายนี้เป็นโครงการสำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐที่ใหญ่ที่สุด รัฐบัญญัติไรอันไวต์แคร์ให้การสนับสนุนโครงการเพื่อปรับปรุงการดูแลแก่เหยื่อโรคเอดส์ที่มีรายได้ต่ำ ไม่มีประกันหรือมีประกันไม่เพียงพอ และครอบครัวของพวกเขา[44]

โครงการไรอันไวต์เป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการรักษาเมื่อพวกเขาไม่มีแหล่งเงินทุนอื่น กฎหมายมีผลบังคับใช้ซ้ำในปี 1996, 2000 และ 2006 และยังคงมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน โครงการดูแลคนราว 500,000 คนต่อปี และในปี 2004 ให้ทุนกับองค์กร 2,567 องค์กร และยังให้ทุนและให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิคแก่ผู้ให้การดูแลทางการแพทย์เบื้องต้นของท้องถิ่นและรัฐ การบริการช่วยเหลือ การจัดการรักษาพยาบาล และโครงการฝึกสอน[44][45]

รัฐบัญญัติไรอันไวต์เดิมมีผลสิ้นสุดถึงวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2009 แม้จะมีความพยายามจะต่ออายุกฎหมายฉบับนี้[46] ประธานาธิบดีบารัก โอบามาได้ลงนามในรัฐบัญญัติต่ออายุการรักษาเอชไอวี/เอดส์ไรอันไวต์ ค.ศ. 2009 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2009 โอบามาเป็นผู้ประกาศแผนที่จะยกเลิกการประกาศห้ามผู้ติดเชื้อเอชไอวีท่องเที่ยวและเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา[47] โอบามากล่าวว่าการประกาศห้ามที่มีผลนานถึง 22 ปีนี้เป็นการตัดสินใจที่ "มีพื้นฐานจากความกลัวมากกว่าความจริง"[47]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ไรอัน ไวต์ http://nhpf.ags.com/pdfs_bp/BP_RyanWhite_08-22-05.... http://www.ebar.com/news/article.php?sec=news&arti... http://www.gaywired.com/article.cfm?section=68&id=... http://www.history.com/videos/history-uncut-ryan-w... http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=9C0... http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=9E0... http://www.nytimes.com/1989/01/16/arts/review-tele... http://www.ryanwhite.com/ http://www.ryanwhite.com/index.html http://www.ryanwhite.com/pages/timeline.html